การออกแบบเส้นทางอาชีพของคุณในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยทักษะความสามารถ 

   
   

พนักงานจากทุกหนแห่งกำลังมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มทักษะความสามารถ รัฐบาลมีหน่วยงานทั้งหมดที่พร้อมสนับสนุน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็มีคําแนะนําบางอย่างที่ควรจะรับไว้พิจารณา 

ธุรกิจต่าง ๆ กําลังพยายามพิจารณาทักษะให้เป็น “ปัจจัยในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงาน” (คุณอาจจําได้ว่านาโปเลียน ไดนามิต ตัวละครในเรื่องรู้สึกว่าพวกเขามีความสําคัญต่อความสําเร็จของด้านความสัมพันธ์) ด้วยเหตุนี้ ทีม HR จํานวนมากจึงต้องการช่วยให้องค์กรของพวกเขาเปลี่ยนแปลง แนวทางปฏิบัติด้านบุคลากรที่มีพื้นฐานมาจากทักษะความสามารถมากขึ้น

เหตุผลสําหรับเรื่องนี้ได้รับการอธิบายอย่างดีจากผู้อื่น แต่ผู้เขียนจะแบ่งออกเป็นสี่ปัจจัยหลักดังนี้

  • สิ่งแรกและสําคัญที่สุด นวัตกรรมและเทคโนโลยีทําให้การทํางานเน้นทักษะเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เมื่อกล่าวถึงนวัตกรรมหมายความว่ามุมมองแบบดั้งเดิมของเราเกี่ยวกับสายอาชีพที่การเรียนรู้เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของชีวิตและการทำงานที่เกิดขึ้นต่อมา กลายเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนมากขึ้น
  • ถัดไป การแยกประเภทงานเริ่มลดลง ทั้งนี้เนื่องจากเรากําลังสร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนงานให้ดีขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและหรือให้ความสําคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง งานที่มีการกระทำซ้ำ ๆ เริ่มลดลง และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาและการสร้างความสัมพันธ์มากขึ้น
  • ประการที่สาม การใช้มุมมองที่อิงกับทักษะของงานและความสามารถจะช่วยให้ผู้นําสามารถค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ในการมอบหมายงานให้กับผู้ที่เหมาะสมที่สุดโดยไม่ต้องถูกจํากัดโดยขอบเขตขององค์กรแบบเดิม
  •  สุดท้าย พนักงานเริ่มมองหาข้อตกลงที่แตกต่างกันในที่ทํางาน ซึ่งสามารถใช้ความสามารถร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พนักงานชอบทําสิ่งที่พวกเขาทําให้ดีขึ้น แต่ก็ต้องการเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุดเช่นกันส่วนสําคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า พนักงานแต่ละคนจะปรับมุมมองสายอาชีพ จากสายงานธรรมดาไปสู่การผสมผสานที่ต้องใช้ทักษะความสามารถเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด

ส่วนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้หมายความว่า บุคคลจะปรับกรอบวิธีการที่พวกเขามองอาชีพใหม่: จากห่วงโซ่งานไปสู่การผสมผสานของงานที่ลื่นไหลซึ่งใช้ประโยชน์จากทักษะของพวกเขาในวิถีทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างที่ Ravin เพื่อนร่วมงานของผู้เขียนได้แนะนําไว้ งานในอนาคตกําลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีตำแหน่งงานรองรับ ซึ่งหมายความว่า "ข้อตกลง" ของผู้ที่จะสมัครเข้าร่วมทํางานก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

แล้วพนักงานจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับวิธีการทํางานใหม่นี้ได้อย่างไร นี่คือแนวคิดบางส่วน:

  1. มีความชัดเจนเกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวคุณเอง

    คุณคือใคร อะไรคือแรงจูงใจและความสนใจของคุณ พนักงานหลายคนเลือกอาชีพที่แย่เพียงเพราะพวกเขามองข้ามความสําคัญของเนื้องานมากกว่าตำแหน่งงาน พวกเขายังเสียสมาธิในการมองหาแพชชั่นแทนที่จะพยายามทําความเข้าใจว่าพวกเขามีศักยภาพที่จะเก่งในเรื่องใด

    เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น คุณต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับบุคลิกภาพ ค่านิยม และแรงจูงใจของคุณ มองหาเครื่องมือที่ได้รับการรับรองเพื่อช่วยออกแบบแบบสํารวจสั้นๆ เพื่อสอบถามคน 5-10 คนที่รู้จักคุณเป็นอย่างดีเพื่อช่วยอธิบายเกี่ยวกับตัวคุณได้ดีที่สุด บางครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาตัวเองคือการทําความเข้าใจว่าคนอื่นมองคุณอย่างไร

  2. ตรวจสอบทักษะความสามารถที่คุณมี

    หลายคนไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขามีทักษะอะไรหรือจะเปรียบเทียบอย่างไร ส่วนหนึ่งของปัญหาคือการที่ไม่มีเครื่องมือช่วยวัดทักษะความสามารถ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ บางองค์กรจึงเริ่มเสนอเครื่องมือที่ช่วยให้คุณค้นพบทักษะ เช่น การใช้ AI เพื่อทําความเข้าใจประวัติการเรียนรู้และงานของคุณ เพื่อคาดการณ์ระดับทักษะและความเชี่ยวชาญของคุณ สําหรับทักษะทางเทคนิคเชิงลึก คุณอาจต้องการใช้การประเมินเพื่อให้ได้มาตรวัดความสามารถของคุณที่แม่นยํา คุณอาจเข้าถึงเทคโนโลยีที่สามารถช่วยคุณในเรื่องนี้ได้ เช่น ตลาดแรงงานหรือเทคโนโลยีการเรียนรู้ หากคุณไม่ทําเช่นนั้น คุณสามารถดูได้จากLinkedIn ว่ามีทักษะอะไรที่ตรงกับทักษะความสามารถของคุณหรือหาข้อมูลแบบมีการจัดหมวดหมู่เพิ่มเติมทางออนไลน์

    ผลลัพธ์ที่สําคัญในที่นี้คือการมีรายการทักษะและความเชี่ยวชาญ 20-30 ข้อที่ชัดเจน ดังนั้นคุณจึงสามารถเริ่มพิจารณางานหลากหลายประเภทที่เหมาะกับทักษะความสามารถที่คุณมี 

  3. ตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ว่าคุณจะสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไร
    กลยุทธ์ที่ดีคือแผนสําหรับการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การนําทักษะต่าง ๆ ที่คุณมีมารวมกัน จะช่วยให้คุณมีความเป็นโดดเด่นและแข่งขันในตลาดได้ แม้ว่าการทํางานแบบไฮบริดจะกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทํางานโดยทั่วไป แต่วิธีที่ดีกว่าในการคิดเกี่ยวกับการทํางานแบบไฮบริดคือประเภทของงานที่พนักงานทํา โดยเป็นการรวมขอบเขตงานที่แตกต่างกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงการที่หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลสามารถเขียนโค้ดได้ หรือหัวหน้าด้านวิศวกรรมที่สามารถออกแบบกลยุทธ์ของแบรนด์ได้ โดยการผสมผสานทักษะเหล่านี้จะช่วยทำให้เห็นมุมมองการทำงานที่แตกต่างออกไป แนวทางนี้ยังช่วยสร้างคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะให้แต่ละบุคคล
  4. ลงทุนด้านทักษะเพื่อสร้างทักษะ

    ไม่ว่าคุณจะทําอะไร อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าต้องเรียนรู้ในเรื่องอะไร การมุ่งเน้นไปที่ทักษะหลักที่สําคัญ เช่น การโน้มน้าว ทักษะจากประสบการณ์ และความสามารถเฉพาะทาง จะเป็นการสร้างรากฐานเพื่อช่วยพิจารณาลักษณะงานที่เกี่ยวข้อง ในงานของเรา บางครั้งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “ทักษะในการสร้างทักษะ” เพราะเป็นความสามารถที่ช่วยให้ผู้คนทํางานร่วมกับผู้อื่น คิดอย่างสร้างสรรค์ และมุ่งเน้นการเติบโตในสายอาชีพ ทักษะเหล่านี้ค่อนข้างยากที่จะสร้างเพราะต้องใช้การฝึกฝนมากมายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ

    พนักงานจะเริ่มพัฒนาทักษะหลักที่สําคัญเหล่านี้ได้อย่างไร คําตอบค่อนข้างง่ายคือให้ความสนใจกับทักษะเหล่านี้มากขึ้น มองหาคนเก่งที่แสดงให้เห็นถึงทักษะเหล่านี้ เฝ้าดูสิ่งที่พวกเขาทํา และถามคําถามพวกเขาว่าพวกเขาคิดอย่างไร โดยวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ทักษะหลักเหล่านี้คือศึกษาจากต้นแบบที่มีประสิทธิภาพ

  5. พิจารณาถึงความเร่งรีบของงานหลักและงานอื่น ๆ รอบด้านที่ต้องรับผิดชอบ
    หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างทักษะใหม่และเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรใหม่ ๆ คือการเข้าร่วมโครงการที่จะทําให้คุณพบกับแนวคิด ผู้คน และปัญหาใหม่ ๆ ซึ่งหมายถึงการหาวิธีขยายขอบเขตการเรียนรู้ออกไปนอกเหนือจากงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวัน เช่น งานชั่วคราวภายใน อีกหนึ่งแนวคิดที่มีประโยชน์คือการทบทวนงานที่ได้รับมอบหมายของคุณทั้งหมด และตัดสินใจว่าคุณจะลงทุนเวลาไปกับอะไร เพียงแต่ต้องระวังปัญหาที่จะกระทบงานในภาพรวม ซึ่งการบริหารเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำให้งานของคุณสำเร็จบรรลุตามเป้าหมาย แต่ก็ต้องตระหนักถึงพลังงานด้านอารมณ์เช่นกัน (ความยากลำบากในเนื้องานและเหนื่อยยากที่ทุ่มเทไป) หรือแรงสนับสนุนและทรัพยากรที่จําเป็น (ใครหรืออะไรที่คุณสามารถพึ่งพาเพื่อให้ประสบความสําเร็จได้) มันคุ้มค่าที่จะจําไว้ว่าการสร้างทักษะมักจะใช้ความพยายามและดังนั้นจึงต้องการการลงทุนบางอย่างซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องระวังในการบริหารเวลา
  6. มอบหมายคุณค่าให้ตรงกับทักษะที่จำเป็นต่อองค์กร 
    ทุกองค์กรมีการดำเนินธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ อย่าลังเลที่จะเพิ่มทักษะความสามารถเพื่อสร้างความแตกต่างและช่วยเร่งให้คุณประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น สิ่งสำคัญคือคุณต้องพิจารณาก่อนว่าองค์กรมีวิธีการบริหารงานอย่างไรและทักษะอะไรที่จำเป็นต่อองค์กร หลังจากนั้นจึงมุ่งเน้นที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่เพิ่มเติมเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรและทบทวนว่าอะไรคือสมการความสำเร็จของสิ่งที่ทำอยู่ โดยอย่าลืมให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะคุณจะต้องนําการเรียนรู้และทักษะแบบเดียวกันนี้ไปใช้เพื่อคิดหาวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวคุณเองเมื่อย้ายไปยังองค์กรใหม่ ประเด็นคือการมองเห็นโอกาสและการปรับตัวให้เข้ากับภาพรวมเป็นทักษะที่ต้องคอยฝึกฝน

หากคุณต้องการเป็นอิสระมากขึ้น คุณอาจจะต้องโน้มเอียงไปหาความไม่แน่นอน 

การวิจัยทางจิตวิทยาจํานวนมากแสดงให้เห็นว่าการเป็นตัวของตัวเองนั้นสร้างแรงจูงใจและทำให้รู้สึกมีอำนาจ แม้ว่ามุมมองการเพิ่มทักษะความสามารถจะทำให้คุณพบกับความยากลำบากในการวางแผนอนาคตการทำงานให้ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามโอกาสในการมีอิสระและเปิดกว้างด้านการทำงานมากขึ้นก็คงเป็นความคิดที่คุ้มค่าที่จะลอง อีกทั้งหากองค์กร ชุมชน และรัฐบาลสามารถหาวิธีที่จะช่วยให้พนักงานระบุทักษะที่จำเป็นและสามารถตอบโจทย์ทักษะเหล่านั้นได้ในเวลาที่เหมาะสม สิ่งนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย
เกี่ยวกับผู้เขียน (ต่าง ๆ)
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
    โซลูชันที่เกี่ยวข้อง
      ข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้อง