ดัชนีระบบเงินบำนาญทั่วโลกของเมอร์เซอร์และซีเอฟเอประจำปี 2025
เมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญแรงกดดันในการปรับระบบบำนาญ ซึ่ง “Mercer CFA Institute Global Pension Index (MCGPI) หรือ ดัชนีระบบเงินบำนาญทั่วโลกของเมอร์เซอร์และซีเอฟเอประจำปี 2025” เสนอแนวทางหลักในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของผู้เกษียณอายุและผลประโยชน์ของประเทศ
ภูมิภาคเอเชีย 15 ตุลาคม 2568 บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (Mercer) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Marsh McLennan (NYSE: MMC) และผู้นำระดับโลกด้านการส่งเสริมลูกค้าในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการลงทุน กำหนดอนาคตของการทำงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตและผลลัพธ์ด้านการเกษียณสำหรับบุคลากรขององค์กร ร่วมกับ CFA Institute ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพด้านการลงทุนระดับโลก เผยแพร่ดัชนีบำนาญโลก Mercer CFA Institute Global Pension Index (MCGPI) ประจำปีที่ 17 ในวันนี้
ในปีนี้ ระบบรายได้หลังเกษียณของเนเธอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ เดนมาร์ก และอิสราเอล ยังคงรักษาระดับ “เกรด A” ในขณะที่ สิงคโปร์ ได้รับเกรด A เป็นครั้งแรก และเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ได้คะแนนระดับนี้
เขตบริหารพิเศษฮ่องกงมีพัฒนาการโดดเด่นที่สุด โดยขยับขึ้นสู่ระดับเกรด B ด้วยแนวทางที่มุ่งเน้นสมาชิก เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่รอบคอบและการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง ส่วนมาเลเซียขยับขึ้นเป็น C+ จากการปรับปรุงด้าน “ความเพียงพอของผลประโยชน์บำนาญ” และขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน มีคะแนนดีขึ้นในหมวดย่อยด้าน “ความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือ (Integrity)” ซึ่งสะท้อนในกฎระเบียบ การกำกับดูแล และการคุ้มครองสมาชิก นอกจากนี้ฮ่องกงมีคะแนนด้านความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น ขณะที่สิงคโปร์สามารถพัฒนาได้จนมีระดับใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ทั้งสองตลาดติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีคะแนนรวมสูงสุด
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การเติบโตและขนาดของสินทรัพย์กองทุนบำนาญได้ดึงดูดความสนใจจากภาครัฐ ที่มองหาหนทางในการใช้เงินทุนส่วนหนึ่งสนับสนุนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งรายงานปีนี้ได้ศึกษาว่าการแทรกแซงของภาครัฐอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด และเสนอหลักการสำคัญ 8 ประการ เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของผู้ถือแผนบำนาญเอกชนกับผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศได้อย่างเหมาะสม
คริสติน มาโฮนีย์ ผู้บริหารฝ่ายบำนาญแบบกำหนดผลประโยชน์และกำหนดเงินสะสมระดับโลกของเมอร์เซอร์ กล่าวว่า “เมื่อประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นและตลาดแรงงานเกิดการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลต่างเผชิญแรงกดดันให้ต้องปรับระบบบำนาญ แต่การปฏิรูประบบบำนาญไม่ใช่เรื่องง่าย การประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นนายจ้าง ภาครัฐ และผู้ให้บริการบำนาญจึงควรร่วมกันมีส่วนในการออกแบบระบบบำนาญที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนยิ่งขึ้น”
มาร์กาเร็ต CFA และประธานและและซีอีโอของ CFA Institute กล่าวเสริมว่า “กฎระเบียบและนโยบายของภาครัฐ ตั้งแต่เรื่องนโยบายทางภาษีไปจนถึงข้อบังคับด้านการลงทุน มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวิธีที่กองทุนบำนาญจัดสรรเงินลงทุน เนื่องจากบางประเทศคาดหวังให้กองทุนบำนาญมีบทบาทสนับสนุนการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ วงการนักลงทุนมืออาชีพจึงจำเป็นต้องระมัดระวังต่อผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจจากการกำหนดข้อบังคับที่บิดเบือนกลไกระบบ จุดมุ่งหมายหลักของกองทุนบำนาญต้องยังคงเป็นการจัดหาความมั่นคงทางรายได้หลังเกษียณ ภายใต้หลักความไว้วางใจและความรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนเป็นอันดับแรก ระบบบำนาญจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อสามารถสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรม ผลประโยชน์ของชาติ และพันธกิจในการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน”
บทบาทของรัฐ: “ข้อบังคับ” หรือ “ความร่วมมือ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลทั่วโลกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางการลงทุนของกองทุนบำเหน็จบำนาญภาคเอกชน ไม่ว่าจะผ่านการออกข้อกำหนดเพื่อคุ้มครองผู้เกษียณอายุ หรือการส่งเสริมให้ภาคบำนาญสนับสนุนเป้าหมายทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ตัวอย่างเช่นใน สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และมาเลเซีย ต่างส่งเสริมให้กองทุนบำนาญมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมภายในประเทศ ขณะที่บางประเทศยังคงถกเถียงกันว่ากองทุนบำนาญควรถูกบังคับให้คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) มากน้อยเพียงใด แทนที่จะมุ่งเน้นผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว
ทิม เจนกินส์ หัวหน้าทีมผู้เขียนรายงานและพาร์ทเนอร์ของ Mercer กล่าวว่า “ระบบบำนาญที่มีข้อจำกัดน้อยหรือไม่มีเลยมักมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าในดัชนี ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลควรมุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมทางการลงทุนที่จูงใจ ส่งเสริมด้านความโปร่งใส และมีการกำกับดูแลที่ดี รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชน แทนการกำหนดข้อบังคับที่เข้มงวดเพื่อให้เกิดระบบบำนาญและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน”
การจัดสรรรายได้หลังเกษียณทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น
ประเทศที่ได้รับคะแนนดัชนีมากกว่า 80 คะแนน ได้รับการจัดอันดับในระดับ A สะท้อนถึงระบบรายได้หลังเกษียณที่มีความแข็งแกร่ง มอบผลประโยชน์ที่ดี มีความยั่งยืน และมีความโปร่งใสในระดับสูง
ดัชนีนี้ใช้การคำนวณจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ 3 ดัชนีย่อย ได้แก่ ความเพียงพอ (Adequacy) ความยั่งยืน (Sustainability) และความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือ (Integrity) โดยประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดในแต่ละด้าน ได้แก่ คูเวตในด้านความเพียงพอ ไอซ์แลนด์ในด้านความยั่งยืน และฟินแลนด์ในด้านความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ปีนี้มีระบบรายได้หลังเกษียณจำนวน 8 ประเทศ ที่ได้รับการปรับระดับคะแนนดัชนีให้สูงขึ้นและไม่มีประเทศใดที่ถูกปรับลดระดับลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจัดสรรรายได้หลังเกษียณกำลังมีพัฒนาการในระดับโลก ถือเป็นความก้าวหน้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ขณะที่อัตราการเกิดยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีเงินบำนาญทั่วโลกของเมอร์เซอร์และซีเอฟเอปี 2025
| ระบบ | ระดับโดยรวม | คะแนนรวม | ความเพียงพอ (Adequacy) | ความยั่งยืน (Sustainability) | ความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือ (Integrity) |
| เนเธอร์แลนด์ | A | 85.4 | 86.1 | 83.5 | 86.8 |
| ไอซ์แลนด์ | A | 84 | 83 | 85.7 | 83.3 |
| เดนมาร์ก | A | 82.3 | 82.9 | 85 | 77.6 |
| สิงคโปร์ | A | 80.8 | 79.4 | 75.5 | 90.4 |
| อิสราเอล | A | 80.3 | 75.6 | 83.2 | 83.6 |
| สวีเดน | B+ | 78.2 | 76.8 | 76.3 | 83 |
| ออสเตรเลีย | B+ | 77.6 | 69 | 81.1 | 86.4 |
| ชิลี | B+ | 76.6 | 71.9 | 74.9 | 86.6 |
| ฟินแลนด์ | B+ | 76.6 | 77.4 | 65.6 | 90.6 |
| นอร์เวย์ | B+ | 76 | 77.8 | 65.2 | 88.4 |
| สวิตเซอร์แลนด์ | B | 72.4 | 66.3 | 72.9 | 81.6 |
| สหราชอาณาจักร | B | 72.2 | 75.9 | 63.2 | 79 |
| คูเวต | B | 71.9 | 86.6 | 65.4 | 57.6 |
| อุรุกวัย | B | 71.1 | 83.8 | 53.1 | 75.8 |
| เขตบริหารพิเศษฮ่องกง | B | 70.6 | 66.6 | 62 | 89.2 |
| แคนาดา | B | 70.4 | 67.2 | 67 | 80.2 |
| นิวซีแลนด์ | B | 70.4 | 65.2 | 68.2 | 81.7 |
| ฝรั่งเศส | B | 70.3 | 85.2 | 48.6 | 76.8 |
| เม็กซิโก | B | 69.3 | 73.5 | 64.1 | 69.8 |
| เบลเยียม | B | 69.2 | 81.5 | 42.7 | 86.8 |
| โครเอเชีย | B | 68.7 | 66.8 | 60.5 | 83.2 |
| เยอรมนี | B | 67.8 | 81 | 47.5 | 75 |
| ไอร์แลนด์ | B | 67.7 | 72.9 | 51.6 | 81.8 |
| ซาอุดีอาระเบีย | B | 67.6 | 75 | 54.6 | 74.2 |
| โปรตุเกส | B | 67.6 | 83.7 | 36.4 | 85.4 |
| คาซัคสถาน | B | 65 | 47 | 74.2 | 81.1 |
| สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | C+ | 64.9 | 79.4 | 40.6 | 75.5 |
| สเปน | C+ | 63.8 | 83 | 34.2 | 74.4 |
| โคลอมเบีย | C+ | 62.5 | 64.3 | 55.9 | 69 |
| สหรัฐอเมริกา | C+ | 61.1 | 64.1 | 59.9 | 58 |
| โอมาน | C+ | 60.9 | 68.3 | 44.6 | 71.7 |
| มาเลเซีย | C+ | 60.6 | 54 | 55.9 | 77.5 |
| บอตสวานา | C | 59.8 | 54.3 | 48 | 85 |
| นามิเบีย | C | 59.1 | 59.5 | 50.8 | 70.4 |
| ปานามา | C | 59.1 | 62.1 | 52.5 | 63.8 |
| โปแลนด์ | C | 57 | 59.5 | 45.9 | 68.6 |
| อิตาลี | C | 57 | 69.4 | 27.9 | 77.8 |
| จีน | C | 56.7 | 61.4 | 40.1 | 72.3 |
| ญี่ปุ่น | C | 56.3 | 57.1 | 48 | 66.8 |
| บราซิล | C | 56.2 | 70.6 | 31.8 | 67.3 |
| เปรู | C | 55.3 | 55.4 | 48.5 | 64.8 |
| ออสเตรีย | C | 54.5 | 67.5 | 24 | 76.4 |
| เกาหลีใต้ | C | 53.9 | 40.1 | 53.3 | 76.8 |
| เวียดนาม | C | 53.7 | 57.1 | 38.7 | 69.3 |
| ไต้หวัน | C | 51.8 | 41 | 52.3 | 68.5 |
| แอฟริกาใต้ | C | 51 | 38 | 48.2 | 75.7 |
| อินโดนีเซีย | C | 51 | 40.1 | 50.3 | 69.3 |
| ไทย | C | 50.6 | 47.9 | 44.8 | 63.1 |
| ทูร์เคีย | D | 48.2 | 49 | 31.1 | 71.1 |
| ฟิลิปปินส์ | D | 47.1 | 40.6 | 64.4 | 33.2 |
| อาร์เจนตินา | D | 45.9 | 60.8 | 31.3 | 42.4 |
| อินเดีย | D | 43.8 | 34.7 | 43.8 | 58.4 |
เกี่ยวกับ Mercer CFA Institute Global Pension Index (MCGPI) หรือดัชนีระบบเงินบำนาญทั่วโลกของเมอร์เซอร์และซีเอฟเอ
MCGPI เป็นดัชนีที่จัดทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบและประเมินระบบรายได้หลังเกษียณในแต่ละประเทศทั่วโลก พร้อมเสนอแนวทางปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเพียงพอ ความยั่งยืน และความโปร่งใสของระบบบำนาญ ในปีนี้ได้ศึกษาระบบบำนาญจาก 52 ประเทศ ครอบคลุมกว่า 65% ของประชากรโลก และมีประเทศใหม่ 4 ประเทศเพิ่มเติมในการประเมิน ได้แก่ คูเวต นามิเบีย โอมาน และปานามา
ดัชนีนี้เป็นผลงานวิจัยร่วมระหว่าง Mercer และ CFA Institute โดยได้รับการสนับสนุนจาก Monash Centre for Financial Studies (MCFS) ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีระบบเงินบำนาญของเมอร์เซอร์และซีเอฟเอได้ที่นี่
เกี่ยวกับเมอร์เซอร์
เกี่ยวกับ CFA Institute
เกี่ยวกับ Monash Centre for Financial Studies (MCFS)
MCFS เป็นศูนย์วิจัยภายใต้ Monash Business School มหาวิทยาลัย Monash ประเทศออสเตรเลีย มีพันธกิจในการนำองค์ความรู้เชิงวิชาการมาวิเคราะห์และพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการเงิน นอกจากนี้ ศูนย์ยังมีบทบาทในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้แบบสองทางระหว่างนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมผ่านโครงการด้านความร่วมมือต่างๆ ทั้งนี้ แนวทางการวิจัยของศูนย์มีขอบเขตที่กว้าง แต่ปัจจุบันมุ่งเน้นเป็นพิเศษในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ รวมถึงการออมเพื่อการเกษียณอายุ การเงินอย่างยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
อ่านประกาศสำคัญของเราได้ที่นี่